วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

ผู้จัดทำ



ชื่อ-สกุล   : เด็กหญฺิง อภิชญา ธานีรัตน์
ชื่อเล่น     : ปลากริม (Plagrim)
วันเกิด      : 16 กรกฎาคม 2542
การศึกษา : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2
                 : โรงเรียนมอ.วิทยานุสรณ์
                 : อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
การติดต่อ : facebook : อภิชญา ธานีรัตน์
                 : Email : tplagrim@hotmail.com
                 : Gmail : tplagrim@gmail.com

4. การใช้บริการต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการสื่อสารไร้พรมแดน กล่าวคือ ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วโลก สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ไม่จำกัดสถานที่และเวลา ดังนั้น จึงมีการนำอินเทอร์เน็ตทั่วโลก สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ไม่จำกัดสถานที่และเวลา ดังนั้น จึงมีการนำอินเทอร์เน็ตไปประยุกต์ใช้งานหลากหลายประเภท

4.1 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล (electronic mail หรือ e-mail)

เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถรับ ส่งข้อความเพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร กับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้บริการระบบไปรษณีย์แบบดั้งเดิม นอกจากนี้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถส่งข้อมูลในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวอักษรได้อีกด้วย เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง เป็นต้น แนบไฟล์ได้อีกด้วย การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องมีการระบุที่อยู่ของผู้รับ เช่นเดียวกับการระบุที่อยู่บนซองของการส่งไปรษณีย์ธรรมดาทั่วไป ซึ่งในการส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ผู้ส่งและผู้รับจะต้องมีที่อยู่ เรียกว่า ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แอดเดรส (e-mail Address)
  สำหรับรูปแบบของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แอดเดรสจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ชื่อผู้ใช้ และชื่อเครื่องบริการ โดยใช้เครื่องหมาย @ (ออกเสียงว่า แอท) คั่นระหว่างทั้งสองส่วนนี้

                                               


เมื่อผู้ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ไปรษณีย์จะถูกเก็บไว้ที่เครื่องเซิฟเวอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ (mail sever) จนกระทั่งผู้รับมาเปิดอ่าน
รูปแบบการใช้งานไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน มีดังนี้

1) เว็บเมล (Web Mail) เป็นบริการรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ โดยผู้ใช้สามารถสมัครลงทะเบียนในเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการได้ จากนั้นผู้ใช้จะได้รับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แอดเดรสและรหัสผ่าน เพื่อขอเข้าใช้บริการผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งเว็บเมลส่วนใหญ่จะให้โดยบริการที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

 
                                       ตัวอย่างเว็บเมลของต่างประเทศที่ได้รับความนิยม




2) พ็อปเมล (POP Mail) เป็นบริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยใช้โปรแกรมจัดการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งโปรแกรมจัดการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จะติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่รับ-ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมพ็อปเมลที่นิยมใช้ เช่น Microsoft Outlook, Windows Mail, Netscape Mail เป็นต้น

4.2 การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล

การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล (File Transfer Protocal : FTP) เป็นการโอนแฟ้มข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง ซึ่งอาจอยู่ใกล้หรือไกลกัน ในการโอนย้ายแฟ้มข้อมูล เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่และมีการเรียกใช้โปรแกรมสำหรับการโอนย้ายแฟ้มข้อมูล เรียกว่า เครื่องต้นทาง (local host) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครืองลูกข่าย ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำการติดต่อไปเพื่อโอนย้ายแฟ้มข้อมูลนั้นเรียกว่า เครื่องปลายทาง (remote host) โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่าย ซึ่งผู้ใช้งาน โปรแกรมที่เครื่องต้นทางจะต้องระบุชื่อเครื่อง หรือหมายเลขไอพีของเครื่องปลายทางที่ต้องการใช้บริการ
การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล มีการทำงาน  2 ลักษณะ คือ
1. get เป็นการโอนย้ายแฟ้มข้อมูลจากเครื่องปลายทางมายังเครื่องต้นทาง (download)
2. put เป็นการโอนย้ายแฟ้มข้อมูลจากเครื่องต้นางไปยังเครื่องปลายทาง (upload)








                                      หลักการทำงานของการโอนย้ายแฟ้มข้อมูล

การบริการโอนย้ายแฟ้มข้อมูล มี 2 ลักษณะ  ได้แก่
1. การโอนย้ายข้อมูลด้วยโปรแกรมโอนย้ายข้อมูล ทั้งที่เป็นแบบแจกฟรี (freeware) และแบบให้ทดลองใช้ก่อน (shareware) เช่น WS_FTP  CuteFTP เป็นต้น
2. โอนย้ายแฟ้มข้อมูลผ่าน Web Browser

การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น (internet forum) เป็นบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การอภิปรายและแสดงความคิดเห็นร่วมกันของผู้คนในสังคมผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ต คือ ใช้เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายทางสังคม (social network) เทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนข่าวสารมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ยูสเน็ต (usenet) บล็อก (blog) เป็นต้น

1) ยูสเน็ต (usenet) เป็นบริการในลักษณะกลุ่มสนทนาที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิก (subscribe) กลุ่มหัวข้อใดที่ตนเองสนใจ และเมื่อเป็นสมาชิกแล้วก็จะสามารถเรียกดูข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มหัวข้อนั้นได้ และยังสามารถขอความคิดเห็น หรือร่วมแสดงความคิดเห็น สอบถามปัญหา หรือตอบปัญหาของผู้อื่นที่ถามมาในกลุ่มหัวข้อนั้น ๆ สำหรับูสเน็ตในเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้มีการจัดแบ่งกลุ่มหัวข้อต่าง ๆ เช่น กลุ่มการเมือง กลุ่มเทคนิคด้านคอมพิวเตอร์ กลุ่มดนตรี กลุ่มศิลปะ กลุ่มกีฬา เป็นต้น ซึ่งหากผู้ใช้ไม่ต้องการอ่านข่าวสารในนกลุ่มหัวข้อนั้นอีก ก็สามารถยกเลิกการเป็นสมาชิก (unsubscribe) ของกลุ่มหัวข้อนั้นได้

2) บล็อก(blog) ย่อมาจากคำว่า เว็บบล็อก (webblog) เป็นเว็บไซต์ที่ใช้เขียนบันทึกเรื่องราว โดยเรียงลำดับตามเวลา เพื่อสื่อสารความรู้สึก มุมมอง ประสบการณ์ ความรู้ และข่าวสารโดยจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้ส่วนบนสุดของเว็บไซต์หรือบางครั้งอาจเรียกว่า ไดอารีออนไลน์ (diary online) ข้อมูลหรือความเห็นที่ถูกนำเสนอในบล็อก อาจจัดทำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เป็นเจ้าของบล็อก หรือบุคคลที่มีความสนใจร่วมกัน หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเหมือนกัน จนเกิดชุมชนในบล็อกขึ้น ซึ่งผู้ใช้คนอื่น ๆ สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันได้ และสามารถอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลาได้ โดยข้อมูลหรือความเห็นสามารถนำเสนอในรูปของข้อความ ภาพ หรือมัลติมีเดีย ทั้งนี้ผู้เขียน (blogger) ต้องพึงระวังการเขียนข้อความในลักษณะหมิ่นประมาทยั่วยุให้ผู้อื่นทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ. ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ ปัจจุบันบล็อกที่นิยมใช้ในประเทศไทบมีหลายเว็บไซต์ เช่น Hi5, Facebook, Wikipedia, Youtube เป็นต้น















                                                                   ตัวอย่างบล็อก











4.4 การสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต

การสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ตมี 2 รูปแบบ ดังนี้

1) การสนทนาเป็นกลุ่ม เป็นการสนทนาจะพิมพ์ข้อความไปยังเครื่องเซอร์ฟเวอร์ จากนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อความแสงดบนหน้าจอของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ร่วมสนทนา ซึ่งผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเข้าสู่ระบบ โดยส่วนใหญ่เว็บไซต์จะแบ่งห้องสนทนา (chat room) เป็นกลุ่มหัวข้อต่าง ๆ ให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้บริการตามความสนใจ ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ให้บริการนี้ เช่น www.sanook.com www.pantip.com เป็นต้น


2) การสนทนาระหว่างผู้ใช้โดยตรง เป็นการสนทนาโดยมีเซิร์ฟเวอร์บอกตำแหน่งของโปรแกรมสนทนา (instant messaging) ของคู่สนทนา ทำให้ผู้ใช้สามารถสนทนากับผู้ใช้อื่น ๆได้โดยตรง การสนทนาทำได้ทั้งการพิมพ์ข้อความ การส่งภาพกราฟิก เสียง และภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้โปรแกรมยังมีฟังก์ชันและลูกเล่นต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้โปรแกรมสนทนาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่   MSN Messenger , AOL Instant Messenger, Yahoo Messenger, Google Talk, NET Messenger Service, Jabber , และSkype





4.5 บริการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

การค้นหาข้อมูลในอดีตนักเรียนจะต้องเดินทางไปห้องสมุด เพื่อหาหนังสือที่เกี่ยวข้องแต่ปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตซึ่งแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ เปรียบเสมือห้องสมุดหลายแห่งทั่วโลกที่เชื่่อมโยงกัน ดังนั้น การสืบค้นข้อมูลจึงทำได้สะดวกขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่นักเรียนจะต้องคำนึงถึง คือการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้น อาจต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะพบเว็บเพจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ หรืออาจพบแต่เป็นเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง และบางครั้งอาจหาไม่พบเลย โดยวิธีที่ดีที่สุดคือ การสืบต้นข้อมูลจากเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล (search site) ซึ่งเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลแบ่งเป็น2 ประเภทตามลักษณะการทำงาน ดังนี้

1) เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือหรือโปรแกรมการค้นหา (seach engine) เป็นเว็บไซต์ที่สามารถให้ผู้ใช้หาข้อมูลโดยการระบุคำสำคัญ เพื่อค้นหาข้อมูลด้วยโปรแกรมการค้นหา ซึ่งข้อมูลจะครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าวและอื่น ๆ โปรแกรมการค้นหาส่วนใหญ่จะค้นหาข้อจากคำสำคัญ (keywords) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป และจะแสดงรายการผลลัพธ์ที่ตรงหรือใกล้เคียงกับคำสำคัญที่สุด ตัวอย่าง เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือหรือโปรแกรมการค้นหาที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น www.google.com,www.bing.com, www.seach.com เป็นต้น

Gmail





       

Gmail เป็นไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของ Google สร้างขึ้นจากแนวความคิดที่ว่าไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ควรใช้งานง่าย มีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ และให้ความสนุกสนานด้วยซึ่งการสมัครใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทาง Gmail นั้นผู้ใช้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด




5. คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตทำให้การติดต่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าเมื่ออินเทอร์เน็ตมีบทบาทและมีความสำคัญมากกขึ้นเท่าใด อินเทอร์เน็ตย่อมส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อสังคม ดังนี้

5.1 ผลกระทบทางบวก

อินเทอร์เน็ตมีผลกระทบทางบวกต่อสังคม ดังนี้
1. ทำให้มีความสะดวกในการติดต่อสื่อสารในเครือข่ายขนาดใหญ่ กล่าวคือ ทำให้คนในสังคมติดต่อสื่อสารได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา
2. ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การติดต่อสื่อสารผ่านอีเมล์ การประชุมทางไกลผ่านเครือข่าย
3. ข่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทำให้เกิดการศึกษารูปแบบใหม่ที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้เกิดความสนุกในการเรียนรู้ อีกทั้งทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาได้แก่ ระบบการเรียนทางไกผ่านอินเทอร์เน็ต (e-learning)

5.2 ผลกระทบทางลบ

อินเทอร์เน็ตมีผลกระทบทางลบต่อสังคม ดังนี้

1. )ก่อให้เกิดความเครียดของคนในสังคม กล่าวคือ อินเทอร์เน็ตทำให้คนในสังคมเข้าถึงข้อมูลมากมายมหาศาล สภาพสังคมจึงเปลี่ยนเป็นสังคมฐานความรู้ หรือสังคมที่ใช้ความรู้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น  จึงเกิดการแข่งขันด้านเศรษฐกิจกันอย่างรุนแรง ซึ่งการตัดสินใจในการทำงานต้องใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพ เพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ทำให้คนในสังคมเกิดความกดดันและเกิดความเครียดสูงขึ้น

2. )เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นในสังคม เช่น การแต่งกายที่ไม่เหมาะสมของเยาวชน การติดเกมประเภทความรุนแรง เป็นต้น

3. )เกิดช่องว่างระหว่างคนในสังคม เนื่องจากคนในสังคมใช้เวลาในการเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมลดลง จนเกิดคำพูดที่่ว่า "เทคโนโลยีทำให้คนไกลใกล้กันมากขึ้น แต่เทคโนโลยีก็ทำให้คนใกล้ไกลมากขึ้น" กล่าวคือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตทำให้คนที่อยู่ไกลกันสามารถสื่อสารได้เหมือนอยู่ใกล้กัน ในขณะที่ทำให้คนที่อยู่ใกล้กันเกิดความห่างใกลกันมากขึ้น เช่น คนในครอบครัวที่ต่างคนต่างคุยกับเพื่อนในอินเทอร์เน็ต จึงมีเวลาพูดคุยกับคนในครอบครัวลดน้อยลง

4. )เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล  เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นโลกเสรีที่ให้ผู้คนสามารถแสดงความคิดเห็นร่วมกันได้ แต่การแสดงความคิดเห็นที่ไร้ขอบเขต ย่อมส่งผลต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น การนำข้อมูลส่วนบุคคลออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นจริง หรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้อง การแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต่อบุคคลผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

5. )อาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ผู้ไม่หวังดีอาจใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด เช่น การล่อลวงผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ตและก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งภาพลามกอนาจาร การพนันออนไลน์ การจำหน่ายของผิดกฎหมาย การส่งไวรัสไปทำลายข้อมูลของผู้อื่น เป็นต้น


เมื่อเยาวชนติดเกมคอมพิวเตอร์ จะส่งผต่อสุขภาพ เช่นสายตาสั้น เป็นโรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น และอาจหนีเรียนทำให้ผลการเรียนตกต่ำ

6. มารยาท ระเบียบ และข้อบังคับในการใช้อินเทอร์เน็ต

จากปัญหาการล่อลวงอันเกิดจากการเล่นอินเทอร์เน็ตที่นับวันยิ่งมีมากขึ้น ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้พยายามหามาตรการป้องกันปัญหาและภัยจากการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งเกิดจากคนที่ขาดจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อทั้งตนเองและสังคม เพื่อหลีกเลี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงจากภัยออนไลน์ ทั้งนี้รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรรณ ได้กล่าวถึง บัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตควรยึดถือไว้เสมือนเป็นแม่บทของการปฎิบัติ ซึ่งผู้ใช้พึงระลึกและเตือนความจำเสมอ ดังนี้

1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น เช่น ไม่เผยแพร่ข้อความกล่าวหาบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหาย ไม่เผยแพร่รูปภาพลามกอนาจาร เป็นต้น

2. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์รบกวนการทำงานของผู้อื่น เช่น การเล่นเกมหรือเปิดเพลงด้วยคอมพิวเตอร์รกวนผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียง

3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น ก่อนได้รับอนุญาต

4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร

5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ

6. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์คัดลอก หรือใช้โปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต

7. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์

8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน

9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอ้นเป็นผลมาจากการกระทำของตน

10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎ ระเบียบ กติกา และมีมารยาทของหน่วยงาน สถาบัน หรือสังคมนั้น ๆ


3. การเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต


การเชื่อมเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตที่นิยมใช้สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปหรือหน่วยงานขนาดเล็กจะใช้การเชื่อมต่อแบบหมุนโทรศัพท์ (Dial-Up Connection ) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบชั่วคราวหรือเฉพาะบางเวลา ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่งสิ่งที่จำเป็นในการเชื่อมต่อ มีดังนี้

1. เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณืสำหรับใช้ในการส่งข้อมูลและรับข้อมูล

2. เว็บบราวเซอร์ เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการดึงข้อมูลจากเว็ปเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจัดเก็บอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า HTML (Hyper Text Markup Language) และแปลความหมายของรูปแบบข้อมูล ที่ได้กำหนดเอาไว้เพื่อนำเสนอแก่ผู้ใช้


3. หมายเลขโทรศัพท์และสายโทรศัพท์ สำหรับเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูลข่าวสาร โดยผู้ใช้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโทรศัพท์เพียง 3 บาท ต่อครั้งของการต่อเชื่อม
4. โมเด็ม เป็นอุปกรณ์สำหรับแปลงสัญญาณข้อมูลของคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในรูปแบบดิจิทัล (digital) ให้เป็นสัญาณข้อมูลรูปแบบแอนะล็อก (analog) และเมื่อเป็นผู้ส่งจะแปลงสัญญาณข้อมูลรูปแบบแอนะล็อกให้เป็นดิจิตอล




5. บริการชุดอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกขอเป็นสมาชิกเป็นรายเดือน รายปี หรืออาจเป็นการซื้อชุดอินเตอร์เน็ตแบบสำเร็จรูปโดยคิดค่าใช้บริการเป็นหน่วยชั่วโมง บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย เช่น ทีโอที กสท โทรคมนาคม ทีทีแอนด์ที ล็อกอินโฟ เป็นต้น



การเชื่อมต่อแบบหมุนโทรศัพท์มีข้อดี คือ สะดวกและมีค่าใช้จ่ายต่ำ แต่มีข้อจำกัดด้านความเร็ว และการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตอาจหลุดได้หากสัญญาณรบกวนภายในสายโทรศัพท์

2. การทำงานของอินเตอร์เน็ต


เครือข่ายอินเตอร์เนตสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ต่างชนิดหรือต่างขนาดกัน ที่เชื่อมต่อภายในเครือข่ายสามารถสื่อสารกันได้นั้น จะต้องมีมาตรฐานการรองรับส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นแบบเดียวกันหรือใช้กฎและข้อตกลงเดียวกัน ซึ่งก็คือ โพรโตคอล (protocol) ในการควบคุมรูปแบบข้อมูลและการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โพรโตคอลที่ใช้ในอินเตอร์เน็ต เรียกว่า ทรานมิสชั่นคอนโทรโปรโตคอล/อินเตอร์เนตโพรโตคอล (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) หรือมีชื่อย่อว่า ทีซีพี / ไอพี (TCP/IP)



                         การติดต่อสื่อสารบนอินเตอร์เน็ตโดยใช้โพรโตคอลทีซีพี/ไอพี

       อินเตอร์เน็ตสามารถส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานหนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานปลายทางได้มากกว่าหนึ่งเส้นทาง ซึ่งหากเส้นทางบางเส้นทางได้รับความเสียหายระบบเครือข่ายก็ยังคงสื่อสารกันได้ โดยเส้นทางที่เหลือเส้นทางอื่น ซึ่งการส่งข้อมูลดังกล่าวจะใช้หลักการของเครือข่ายแบบแพ็กเก็ตสวิตชิ่ง (Packet-Switching Network) กล่าวคือ ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ หรือแพ็กเก็ต และส่งไปยังปลายทางต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับปลายทางที่กำหนดโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายจะต้องมีหมายเลขประจำเครื่องเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ อ้างอิงถึงได้ เช่นเดียวกับการโทรศัพท์จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องต้นทางและเครื่องปลายทาง



การส่งข้อมูลแบบแพ็กเก็ตสวิตชิง

หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรียกว่า หมายเลขไอพี (IP Address) ซึ่งเป็นหมายเลขชุดหนึ่งมีขนาด 32 บิต หมายเลขชุดนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิต เท่า ๆ กัน ซึ่งแต่ละส่วนจะมีค่าตั้งแต่ 0-255 เช่น 205.42.117.104 โดยหมายเลขไอพีของเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องไม่ซ้ำกัน และเนื่องจากหมายเลขไอพีจดจำได้ยากถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากอยู่ในเครือข่าย ก็จะทำให้สับสนได้ง่าย จึงได้เกิดการตั้งชื่อที่เป็นตัวอักษรขึ้นมาแทนหมายเลขไอพี เพื่อช่วยในการจดจำ เรียกว่า ดีเอ็นเอส (DNS : Domain Name Server) ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ชื่อ และโดเมน ดังนี้
โดเมนมีมาตรฐานใช้ร่วมกันสำหรับหน่วยงานและประเทศต่าง ๆ ดังนี้

1. โดเมนระดับบนสุด (Top-Level Domain Name) จะบอกถึงองค์กร หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่

ตัวอย่างโดเมนระดับบนสุดที่บ่งบอกประเภทขององค์กร


                               ตัวอย่างโดเมนระดับบนสุดที่บ่งบอกประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่
ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นโดเมนระดับบนสุดที่บ่งบอกประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่นั้น จะต้องมีโดเมนระดับย่อย เพื่อระบุประเภทขององค์กร

2. โดเมนระดับย่อย ใช้ในประเทศ ซึ่งจะบอกประเภทขององค์กร


                                              ตัวอย่างโดเมนย่อยในประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

1. ความหมายเเละการพัฒนาการของอินเตอร์เน็ต


     ปัจจุบันบริการบนอินเทอร์เน็ตมีหลากหลายรูปแบบ เช่น จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การพูดคุยออนไลน์ (talk)
      การซื้อขายของสินค้าหรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) นอกจากนี้ ผนเทอร์เน็ตยังเป็นเเหล่งรวบรมข่าวสารเเละสารสนเทศขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมความรู้ทุกด้าน ดังนั้น อินเทอร์เน็ตจึงมีความสำคัญนการดำเนินชีวิตของคนเรา ตั้งเเต่การเรียนการทำงาน การซื้อสินค้า ตลอดจนการเเลเปลี่ยนความรู้ของกลุ่ม






1.1 ความหมายของอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต (Internet:Interconnection Network) หมายถึง เครือข่ายของเครือข่าย ซึ่งก็คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่โยงใยกันทั่วโลก โดยเครือข่ายดังกล่าวจะต้องมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นเเบบเดียวกัน เเม้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อภายนเครือข่ายตังกล่าวอาจจะต่างชนิดหรือต่างขนาดกัน ก็สามารถสื่อสารกันได้ เเละคอมพิวเตอร์เเต่ละเครื่องภายในเครือข่ายสามารถรับเเละส่งข้อมูลในรูปแบบต่างๆได้หลายรูปเเบบ เช่น ตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เสียง เป็นต้น


1.2 พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต

การศึกษากี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากอดีตเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับปัจจุบันการศึกษาประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร ประโยชน์ เเละเเนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคตได้เป็นอย่างดี

1.) อินเทอร์เน็ตในต่างประเทศ

                ปี ค.ศ. 1969 หน่วยงานโครงการวิจัยขั้นสูง (Advanced Research Projects Agency : ARPA)ชองกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนงานวิจัยเทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยช่วงเเรกรู้จักกันในนามของ เครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูง หรืออาร์พาเน็ต (arpanet) ซึ่งมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ระห่างสถานการศึกษา 4 เเห่ง ได้เเก่ มหาวิทยาลัยเเคลิฟอเนียที่ลอสเเองเจลิสหาวิทยาลัยยูทาห์ วิทยาลัยเเคลิฟอเนียที่ซานตาบาร์บารา เเละสถาบันวิจัยเเห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยมีคอมพิวเตอร์หลากหลายชนิดที่เชื่อต่อกันในเครือข่ายเเละมีระบบปฏิติการที่เเตกต่างกันเเต่สามารถสื่อสารข้อมูลกันได้

               อาร์พาเน็ตเเบ่งออกเป็น 2 เครือข่าย คือ 
      = เครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูง (ARP Anet) 
      = เครือข่ายของกองทัพ (MILNET)






                โดยช่วงต้นเครือข่ายทั้งสองเป็นเครือข่ายหลักที่สำคัญในทวีปอเมริกาเหนือ ต่อมาหน่วยงานภาครัฐเเละเอกชนำนวนมากเล็งเห็นถึงความสำคัญเเละประโยชน์ของการเชื่อต่อกับเครือข่ายอาร์พาเน็ต เเละทำให้เกิดการขยายเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1984 เครือข่ายนี้ถูกเรียนว่า อินเทอร์เน็ต (internet) เเละใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ตถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าใช้ระบเครือข่ายได้อย่างกว้างขวาง เเละได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายในลักษณะของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (internet) เเละเครือข่ายเอ็กซ์ตราเน็ต (extranet) อีกด้วย

2.) อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 

                 ๐ปี พ.ศ. 2530 มหาวิทยายสงขลานครินทร์ เเละสถาบันเทคโนโลยีเเห่งเอเชีย (AIT) ได้เชื่อมต่อเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของมาหาลัยเเละสถาบัน ไปยังมหาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นการเชื่อต่อผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งส่งข้อมูลได้ช้าเเละเป็นการเชื่อต่อเเบบชั่วคราว

ปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เเละคอมพิวเตอร์เเห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 5 เเห่งได้เเก่ จุฬาลกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบนเทคโนโลยีเเห่งเอาเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยสงขลาครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เเละมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกิดเป็นเครือข่ายที่เรียกว่า เครือข่ายไทยสาร โดยสำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย ได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9,600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารเเห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี ประเทศสหรัฐอเมริกา

๐ปี พ.ศ. 2536 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เเละคอมพิวเตอร์เเห่งชาติ (NECTEC) ได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที จากการสื่อสารเเห่งประเทศไทย ทำให้เครือข่ายมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีหน่วยงานอื่นเชื่อมเข้ากับเครือข่ายไทยสารอีกหลายเเห่ง เครือข่ายไทยสารจึงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

๐ปี พ.ศ. 2537 การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชน เปิดบริการอินเตอร์เนตให้แก่บุคคล ในรูปแบบของบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เนตเชิงพาณิชย์ เรียกว่า ผู้ให้บริการอินเตอร์เนต (Internet Service Provider : ISP) ที่ทำหน้าที่ให้บริการเชื่อมต่อสายสัญญาณจากแหล่งต่าง ๆ ของผู้ใช้บริการ เช่น จากที่บ้าน สำนักงาน สถานบริการ และแหล่งอื่น ๆ เพื่อเชื่อมต่อกับระบบใหญ่ออกไปนอกประเทศได้